DHL Express เปิดศูนย์ปฏิบัติการ Bengaluru ปรับปรุงใหม่ สนับสนุนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ

0
1090
Bengaluru Gateway

DHL Express เปิดศูนย์ปฏิบัติการ Bengaluru Gateway หลังดำเนินการขยายพื้นที่ด้วยเม็ดเงินกว่า 22 ล้านยูโร โดยศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในท่าอากาศยาน Kempegowda ประเทศอินเดีย ได้รับการขยายให้มีพื้นที่กว่า 112,000 ตารางฟุต ใหญ่กว่าเดิมถึงสี่เท่า เพื่อช่วยสนับสนุนการค้าของอินเดียที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของภาคอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ

ทั้งนี้ เมื่อเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จะสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้มากกว่า 90,000 ตันต่อปี ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการสินค้าขนส่งด่วนในเขตปฏิบัติการบินที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ศูนย์ Bengaluru Gateway ปรับปรุงใหม่นี้จะช่วยให้ DHL Express สามารถเชื่อมต่อและนำส่งสินค้านำเข้าไปยังที่หมายทั่วอินเดียได้เร็วขึ้น 12-24 ชั่วโมง และลดเวลาปิดให้บริการรับชิปเมนท์รายวันได้สูงสุดถึง 60 นาที

Mr. Ken Lee ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท DHL Express Asia Pacific กล่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในระบบเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก อินเดียยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญในเครือข่ายทั่วโลกของ DHL ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการ Bengaluru Gateway เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 750 ล้านยูโร เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียแปซิฟิก และยกระดับการเชื่อมต่อให้กับประเทศและธุรกิจต่างๆ ด้วยปริมาณสินค้านำเข้าและส่งออกระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งขับเคลื่อนให้สินค้าใน Bengaluru มีปริมาณมากขึ้น ศูนย์ปฏิบัติการใหม่แห่งนี้จะสามารถสนับสนุนกลยุทธ์ของ Bengaluru ด้วยความสามารถในการรองรับสินค้าในท่าอากาศยานที่สูงถึงหนึ่งล้านตันในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า”

ทั้งนี้ จากการใช้เครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างทวีปที่ปฏิบัติการโดย DHL ทั้งหมด 11 ลำ สายการบินพาณิชย์ระหว่างประเทศ 30 ราย และเที่ยวบินในประเทศรายสัปดาห์ทั้งหมด 70 เที่ยวบิน ปัจจุบัน ศูนย์ปฏิบัติการ Bengaluru Gateway สามารถเชื่อมต่ออินเดียตอนใต้และอินเดียตะวันตกไปยังที่หมายกว่า 220 ประเทศและเขตการปกครองผ่านเครือข่ายระดับโลกของ DHL โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ DHL ยังได้เพิ่มเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างทวีปอีกหกลำเข้าสู่ฝูงบิน ทำให้มีเครื่องบินที่ปฏิบัติการผ่าน Bengaluru ทั้งหมด 17 ลำ

โดยเส้นทางการค้าด้านการส่งออกหลักสำหรับ Bengaluru ได้แก่ อเมริกาเหนือและยุโรป ขณะที่เอเชียแปซิฟิกและยุโรปจะเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญสำหรับสินค้านำเข้า ศูนย์ปฏิบัติการที่ปรับปรุงใหม่นี้จะมอบความสามารถในการรองรับสินค้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้ายานยนต์ สินค้าชีววิทยาศาสตร์และการแพทย์ และสินค้าแฟชั่น โดยเมื่อผนวกกับโครงสร้างพื้นฐานที่ยกระดับขึ้น และเที่ยวบินเพิ่มเติมของ DHL เส้นทางการค้าเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากพื้นที่ระวางสินค้าและความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้น

อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Airfreight Logistics เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Airfreight Logistics หรือคลิกที่นี่

บทความก่อนหน้านี้Jettainer จับมือ Swiss ขยายอายุสัญญาบริหารจัดการตู้ ULD อีกห้าปี
บทความถัดไปFedEx หนุนอีคอมเมิร์ซในตลาด AMEA เตรียมรับช่วงพีคปลายปี