สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เรียกร้องให้สหภาพยุโรปสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินในการเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายยุโรปสีเขียว (Green Deal)
นับตั้งแต่ที่เชื้อเพลิง SAF ได้รับการรับรองให้สามารถใช้ในการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2009 จนถึงปัจจุบันมีเที่ยวบินมากกว่า 215,000 เที่ยว ที่ได้นำเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำดังกล่าวมาใช้บางส่วน ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมการบินเชื่อว่าหากเครื่องบินทั่วโลกมีการใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ได้มาจากฟอสซิลได้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2025 ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาด้านการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพด้านราคาของเชื้อเพลิง SAF ปัจจุบันศูนย์การผลิตเชื้อเพลิงดังกล่าว 14 แห่ง ซึ่งบางส่วนเปิดดำเนินการอยู่ อยู่ในระหว่างก่อสร้าง หรืออยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการจัดหาเงินทุนและการวางแผนนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการนำพาอุตสาหกรรมไปสู่เป้าหมาย 2 เปอร์เซ็นต์ ดังกล่าว อย่างไรก็ดียังจำเป็นต้องมีการดำเนินงานเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการพัฒนายิ่งขึ้น
ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีบทบาทในการพัฒนาโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์และลมเพื่อการผลิตพลังงานที่ประสบผลสำเร็จ อุตสาหกรรมการบินจึงควรได้รับความสำคัญสำหรับการนำเชื้อเพลิงเหลวที่มีความยั่งยืนมาใช้ ซึ่งเชื้อเพลิง SAF นั้นเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมฯ ในการดำเนินการระยะยาวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ปล่อยในปี 2005 ให้ได้ภายในปี 2050 กลยุทธ์ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ การลงทุนในการนำเครื่องบินที่ใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่เข้ามาใช้งาน การวิจัยด้านการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าและระบบไฮบริด แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และโครงการชดเชยและลดคาร์บอนสำหรับอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศ (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation – CORSIA)
อัพเดตข่าวสารและบทความที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก่อนใคร ผ่าน Line Official Account @Airfreight Logistics เพียงเพิ่มเราเป็นเพื่อน @Airfreight Logistics หรือคลิกที่นี่